Posts

สุดท้ายมันทำให้ดีอะไรดีขึ้นบ้าง??

  เอาจริงๆ ถึงตรงนี้อยากให้สื่อยื่นไมค์ไปถามคล็อปป์ว่า "ถึงตรงนี้ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ คุณจะตัดสินใจประกาศจะลาออกกลางคันแบบที่ทำเมื่อตอนต้นปีหรือไม่?" สไตล์คล็อปป์จะต้องตอบอยุ่แล้วว่า "แน่นอนผมเป็นคนแบบนั้นตรงไปตรงกับตัวเอง ตรงไปตรงมากับงานและกับเพื่อนร่วมทีม" จะไม่มีวันที่คล็อปป์จะเปิดเผยแง่มุมแบบที่ไม่เคารพการตัดสินใจของตัวเอง (ซึ่งดี) คำถามถัดไป "คุณคิดว่าการที่คุณทำแบบนั้น นอกจากประโยชน์ที่ได้สะท้อนความตรงไปตรงมาให้กับตัวเองแล้ว มันได้สร้างประโยชน์อย่างอื่นให้ทีมในแง่ของวิธีคิดและวิธีการเล่นหรือไม่?" ... ซาล่าห์มันคงอยากถามเหมือนกันว่า ถ้าเป็นผมเหลือสัญญาปีหน้าอีกปีนึง แล้วก็ประกาศไปว่า สิ้นปีนี้ผมจะไป ผมหมดพลัง ผมทำได้รึปล่าว? ทำไมคุณทำได้ ถ้าผมจริงใจกับความรู้สึกผมบ้าง แล้วผมทำแบบคุณ "คุณจะรู้สึกยังไง?" คุณจะเคารพการตัดสินใจของผมไหม แล้วคุณกล้าดียังไงมาเล่นกับความรู้สึกของคนอื่นแบบนั้น อย่าด่าผม ไม่ได้ลืมบุญคุณที่คล็อปป์ทำทิ้งไว้เลย อยากให้อยู่ตลอดไป แค่ไม่เข้าใจ "ทำทำไม?" ชีวิตมันก็แบบนี้ มีขึ้นมีลง (แน่นอน) แต่มีลงแล้วมีขึ้นรึปล่

คล็อปป์ประกาศลาออกกลางซีซั่นในขณะที่ทีมมีลุ้น ได้ไงวะ???

ต่อกรณี คล็อปป์ประกาศลาออกเมื่อวานเย็นนี้ ถึงตรงนี้ยังไม่เข้าใจอย่างมาก คือแม้ว่าคล็อปปจะพยายามให้เหตุผลเรื่อง burn out ไปแล้ว แต่การทำแบบนี้แม้ว่าจะเข้าใจได้ แต่ก็ยังเป็นการตัดสินใจที่ต้องถามหลายอย่าง การประกาศออกสื่อให้แฟนบอลรู้ ทำไมไม่ประกาศหลังจบซีซั่น คล็อปป์พยายามให้เหตุผลเพื่อให้สโมสรได้เตรียมการต่อสิ่งที่จะเกิดในอนาคต แต่ก็ขัดแย้งกับการตอบของคล็อปป์เองที่บอกว่าได้แจ้งกับทางสโมสรต่อเรื่องนี้ไปแล้วตั้งแต่เดือน 11 การประกาศตอนนี้จะมีประโยชน์อะไร? ยังไงแฟนบอลก็ช็อกเหมือนกัน จะช้าจะเร็วแค่นั้น สู้เก็บเรื่องนี้ไว้ภายในแล้วทำสกู๊ปหลังจบซีซั่น ทำช็อกประกาศในเกมสุดท้ายของฤดูกาลอะไรไปเลย ผลลัพธ์ซีซั่นนี้ต่อให้ดีให้ร้ายออกมาทรงไหนการประกาศตอนนั้นก็ดูรับได้กว่าในสายตาเรา เพราะการทำแบบนี้ ถ้ามองมุมร้ายการประกาศตอนนี้มันจะทำให้กองเชียร์เศร้าเกินไปรึปล่าว? สู้ถ้าเก็บข่าวไว้แล้วด้วยเทรนด์รูปแบบการเล่นเรายังเชื่อว่าทีมจะได้ลุ้นต่อไปยาวๆ ไม่ต้องมาบริหารความเสี่ยงให้กองเชียร์เศร้าแบบงงๆ แปลกๆ แบบนี้ แต่หลายคนก็บอกไปอีกว่าถ้ามองมุมดีก็อาจจะกลายเป็นแรงฮืดเพื่อคล็อปป์ก่อนจากก็ได้ ส่วนตัวเลยมโนไปเองว

ความคิดฉันเปลี่ยนบ้างไหม เมื่อวันเวลาผ่านมานานขนาดนี้

 ก่อนหน้านี้เคยอ่านหนังสือซักเล่ม เขาแนะนำว่าให้ฝึกหัดถามคำถามตัวเองอย่างสม่ำเสมอ คำถามที่ว่าคือ "ตอนนี้เราทำอะไรอยู่" และ "เราคิดเห็นต่อสิ่งนี้ๆ อย่างไร" หากคำตอบที่ได้ เป็นไปในทิศทางเดียวกัน แสดงว่าเรามาถูกทาง แต่ถ้าว่าเรายังมีคำถามยิบย่อยๆ อยุ่ แปลว่าเราเริ่มจะหลงทางแล้ว แหมะ ตอบไม่ได้จริงๆ ว่าผมเปลี่ยนไปแค่ไหน เพราะไม่มีไม่เปลี่ยนหรอก มีแต่เปลี่ยนช้ากับเปลี่ยนเร็วแค่นั้น แต่ถ้าถามว่าถึงตรงนี้ อยู่มาขนาดนี้ในชีวิตการทำงาน ฉันมี motto ประจำใจ ใช้เตือนตัวเองเวลาดำรงตนอย่างไร ฉันว่าฉันมีของฉันแล้ว หนึ่งเป็น quote ที่ได้ยินหนแรกจากหนังเรื่อง the inconvenience truth ไม่ได้เป็น quote จากหนังนะ แต่หนัง quote มาอีกที Mark Twain  "What gets us into trouble is not what we don't know. It's what we know for sure that just ain't so." สิ่งที่ให้เรามีปัญหาไม่ใช่ความไม่รู้ แต่คือสิ่งที่เราคิดว่าเรารู้แล้วแต่เรารู้ไม่จริง แหมะ มันช่างโดนใจจริงๆ อัตตาและตัวตนของเราส่งเสริมให้เราทะนงตนผิดๆ คิดว่าตัวเองรู้เยอะ รู้ลึกกว่าคนอื่น แต่ถ้าเราคอยเตือนตัวเองด้วยข้อความ

สรุปปี 2020 ของข้าพเจ้า

 เป็นอีกปีที่ผ่านไปไวเหมือนทุกปี ไม่เคยมีซักปีไหนที่เรารู้สึกว่าเวลาเนิบช้า มีเวลาให้คิดอะไร หรือทำอะไรได้เลยซักปี เป็นอีกปีที่เจออะไรหนักๆ อีกรอบ การไม่สบายของแม่ หรือการทำตัวแย่ๆ ของคนในครอบครัวคือสิ่งที่หนักหนาสำหรับปีนี้ของเรา อีกอย่างที่มาปรับให้ชีวิต การทำงาน การดำเนินชีวิตของเราและคนทั้งโลกคือการมาของ covid19  แต่ก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นที่จะกระทบเราได้เท่ากับวิธีการคิดการตัดสินใจของเรา สิ่งที่กระทบมันก็ทำหน้าที่ของมัน เราทำอะไรไม่ได้นอกจากสร้างวิธีการจัดการกับสิ่งเหล่านั้นให้ทุเลาเบาบางและทำให้เราเดินหน้าต่อได้ แค่นั้น การงานเรายังอยู่ในเส้นทางที่ยังพอกระดิกได้  การเงินเรายังพอบริหารจัดการได้ตามบทบาทภาระหน้าที่ของเรา ความรักเรายังโอเคอยู่มาก คู่ชีวิตเราไม่เคยสร้างปัญหาอะไรให้เราต้องคิดต้องเครียดเลย (แทบจะเป็นสิ่งเดียวที่ยึดเหนื่ยวให้เราเดินทางได้อยู่ตอนนี้) สุขภาพเริ่มย่ำแย่ ปวดหัวอยู่เป็นประจำ  ครอบครัวเราก็ต้องทำหน้าที่ประคองให้ทุกอย่างยังเดินหน้าได้ ขอไม่สัญญิงสัญญาอะไรกับตัวเองนะ เพราะค่อนข้างรู้อยู่เต็มอกว่าชีวิตที่ดีเราควรเดินทางยังไง อย่างเดียวที่จะต้องคอยเตือนตัวเองเสมอคือเ

อิหยังว่ะ covid-19

ช่วงสี่ห้าเดือนที่ผ่านมา โลกนี้ประสบพบเจอกับการระบาดระดับโลก (pandemic) ของโรคอุบัติใหม่อย่าง covid-19 ก่อนหน้านี้ซักครึ่งปี เราได้ยินแว่วๆ ข่าวการแพร่กระจายของโรคคล้ายๆ หวัดในจีน ตอนนั้นยังไม่ได้ระบุชื่อโรคแต่เรียกกันทั่วไปว่า ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 เราไม่ได้ต้องการจะเขียน blog นี้เพื่อมาเล่าว่าโรคนี้มันคืออะไรหรอก เราแค่ต้องการบันทึกไว้ว่า การมาของโรคนี้ได้ส่งผลกระทบระยะยาวต่อคนในโลกนี้อย่างไร และมีใครบ้างที่กำลังจะถูก disrupt ด้วยการมาของโรคนี้แทนที่จะเป็นเพราะกระแสการปรับตัวของโลก อย่างน้อยในบทบาทผู้สอน เราถูกกำหนดให้สอน และวัดผลผ่านเครือข่าย "ทั้งหมด" เรื่องนี้กระทบกับเราไม่มาก หากแต่การไม่ได้อยู่ในแวดวงศึกษาศาสตร์ การวัดผลคือสิ่งที่เค้องออกแบบใหม่อีกรอบในหนหน้า หนนี้ทำได้ไม่ดีเลย มาตรฐานการวัดผลออนไลน์คือเรื่องที่ต้องออกแบบอย่างลึกซึ้งทั้งในแง่ขององค์ความรู้ และคุณธรรมจริยธรรม เราเห็นอกเห็นใจ ครูบาอาจารย์ที่อยู่ในระดับอื่น และอยู่ในแวดวงอื่น ที่การสอนแบบออนไลน์ส่งผลกระทบต่อพวกเขาอย่างมาก เพราะจากสิ่งที่เคยออกมาจากหัว สามารถถ่ายทอดออกมาได้เลย กลับต้องมา

รีวิวชีวิต

ชีวิตช่วงนี้รุ้สึกเหนื่อยมาก เรากลับมาทำงานที่คณะฯ ได้ปีกว่าแล้ว คิดดูเอาเองว่านี่มันนานมากๆ แล้วที่ไม่ได้เขียนอะไรเลย เราต้องกำหนดตารางชีวิตใหม่แล้ว อย่างแรกที่จะกระทำคือการระบุตัวเองโดยการกำหนด ตารางอันชัดเจนไปเลยว่า "ฉันต้องเขียน ทุกสัปดาห์" รออ่านได้เลย เหอๆ เราพก PhD. กลับมาทำงาน ม้นจะมีแค่ช่วงแรกเท่านั้นแหละที่เราจะภาคภูมิใจกับสิ่งนี้ ผ่านเวลามาไม่นาน เรารู้สึกว่าเราทำงานเกินสิ่งที่ต้องทำจริงๆ และองค์การได้ใช้ให้เราทำงานแบบผิดๆ คือ assign ทุกอย่างทีคิดว่าเขาพอจะทำได้ให้องค์การ เราคิดว่าเราไม่ไหวแล้ว เราพบว่า บทบาทหลักของเราที่เราต้องทำให้ได้ดีก่อนคือการวิชาการ การอยู่กับการพัฒนาเด็ก กลับกลายเป็นว่าเราต้องไปนั่งนึกถึงการสร้างสรรค์แนวทางการเปลี่ยนแปลงองค์การเพื่อไปเป็นองค์การอีกแบบที่ทุกคนอยากได้ นี่ขนาดปฏิเสธไม่รับงานบริหารแล้วนะ เรายังต้องรับงานบางงานมาทำเลย ดังนั้น เพื่อให้เรากลับสู่เลนที่ควรเป็น เราจะใช้ blog นี้ สัญญากับตัวเองไว้ ดังนี้ เราจะกลับมามุ่งมั่นกับการเตรียมตัวเพื่อการสอนที่ดีกว่าเดิม เราจะกลับมุ่งมั่นกับการสร้างสรรค์หัวข้องา

บุพเพสันนิวาส เมื่อละครสะท้อนความอยากรู้ของคนไทย

Image
ช่วงเดือนมีนาที่ผ่านมา กระแสละคร บุพเพสันนิวาส ที่ฉายทุกวันพุธ-พฤหัส ทางช่อง 3HD ได้รับกระแสชื่นชม ภาพจาก: ไทยรัฐ กวาดเรตติ้งถล่มทลายในระดับที่ตั้งแต่เปลี่ยนผ่านมายังยุคทีวีดิจิตอลไม่เคยมีรายการใด ได้รับการยอมรับจากคนดูขนาดนี้ ผมเป็นคนหนึ่งที่ชอบละครเรื่องนี้มาก ในแง่ของความเป็นละคร คือแง่ความบันเทิง นิยาย บทละคร ผู้กำกับ ตัวแสดงหลักและรอง ทีมงานผู้สร้างทำได้ดี และเลือกมาได้เหมาะสม ส่วนในแง่ของประวัติศาสตร์ที่แทรกเข้าไป คือส่วนผสมที่ทำให้ผมชอบละครเรื่องนี้มากขึ้นไปอีก ซึ่งจะขอว่าด้วยเรื่องนี้อีกทีท้ายๆ บทความนี้อีกทีครับ ตัวแสดงหลัก คือเบลล่า และโป๊ป ทำได้ดีมาก แสดงออกทางภาษาพูด และภาษากายให้คนเชื่อได้ถึงความสัมพันธ์ของตัวละครได้ดี ส่วนตัวละครรองทั้งหลาย ตั้งแต่พระมหากษัตริย์ ขุนนาง ไพร่พลเรือน ไปจนถึงบ่าว เลือกมาผสมผสานทำให้ละครอิงประวัติศาสตร์ที่คนอื่นเลือกทำแบบจริงจังเคร่งเครียด กลับมาสนุกสนานให้คนธรรมดาเลือกติดตามได้ง่ายขึ้น การใช้เส้นเรื่องว่าภพชาติกลับกลายเป็นเรื่องย้อนกลับคือสิ่งแปลกใหม่ แต่ก็ทำให้เราเชื่อได้ เพราะเป็นเรื่องของความเชื่ออยู่แล้ว การเอาวิ