ภูสอยดาว
สุดสัปดาห์ที่ผ่านมาเลือกเดินทางไปฝึกจิต (ด้วยการเดินทางไกล)
ที่ ภูสอยดาว จังหวัดอุตรดิตถ์และพิษณุโลกมา
เราชอบมาก และคิดว่าคงดีถ้าได้ไปอีก
ขอรีวิวการเดินทางและการท่องเที่ยวในครั้งนี้ครับ
เรามีเวลาแค่ 2 วัน แต่เลือกไปในวันธรรมดาต่อเนื่องวันเสาร์ครับ
เราเดินทางตามเส้นทางที่ gps นำเสนอเลย ซึ่งเดาว่าน่าจะเป็นเส้นนี้ครับ
การเดินทางไปไม่ยากครับ และเราเลือกเอารถไปเพราะทริปนี้เดินทาง 4 คน
ค่าน้ำมันรถดีเซลเครื่อง 3000 ที่ใช้ก็ประมาณสองพันได้ (ช่วงนี้น้ำมันพอสู้ได้) หารสี่แล้วก็คนละห้าหกร้อย ถึอว่าคุ้มครับ
เส้นทางการเดินทางถ้ารถเล็กอาจจะต้องค่อยๆ ไปหน่อย แต่สามารถเดินทางไปได้
ที่ทำการอุทยานมีที่จอดชัดเจน และความปลอดภัยน่าจะสูงอยู่ครับ
เราออกเดินทางประมาณ สี่ทุ่มคืนวันพฤหัส และเดินทางด้วยเส้นทางนี้ไปถึงที่ทำการอุทยานประมาณ 7 โมงเช้า
เราเตรียมเสบียงสำหรับช่วงที่อยู่บนภูไปจากที่กทม.แล้ว
ช่วงไปจึงแวะที่ตลาดตรงอำเภอชาติตระการ เพื่อซื้ออาหารเช้าและเที่ยงระหว่างเดินทางขึ้นภูครับ
รวมเดินทางทั้งหมดประมาณ 8 ชั่วโมงกว่าได้
ในฐานะคนขับ ถือว่าโอเคครับ
ถึงที่ทำการอุทยาน เรานั่งกินข้าวเช้ารอ ที่ทำการเปิดทำการตอน 8 โมงเช้า
พร้อมแล้วก็ดำเนินการแสดงตนเพื่อขึ้นภูได้เลย
ค่าเข้าเขตอุทยานอยู่ที่คนละ 40 บาท รถคันละ 30 บาท (ทั้งหมดนี้ได้ลด 50% ถ้าเดินทางวันธรรมดา)
การแสดงตนเพื่อขึ้นภูก็กรอกข้อมูลตัวแทนของคณะครับ และก็ฝากบัตรประจำตัวไว้ 1 ใบ
ณ ที่ทำการอุทยาน
ถ้าไม่ได้เอาอุปกรณ์ยังชีพสำหรับด้านบนขึ้นไปก็เช่าตรงนี้แล้วก็ขึ้นไปรับของด้านบน
สำหรับคณะ ผมก็เลือกใช้อุปกรณ์ของทางอุทยาน (เต้นท์ แผ่นรองนอน หมอน และถุงนอน) ทั้งหมด
นอนคนเดียว เต้นท์คืนละ 700
นอนสองคน เต้นท์คืนละ 800
นอนสามคน เต้นท์คืนละ 900
ถ้าไม่ใช้ลูกหาบ ก็รอรถที่จะไปส่งที่น้ำตกภูสอยดาวได้เลย
ถ้าใช้ลูกหาบก็ชั่งน้ำหนักตรงนี้ กิโลกรัมละ 35 บาท
เรื่องน้ำใช้ไม่ต้องห่วงนะครับ ด้านบนมีน้ำสำหรับใช้ เพียงพอแน่นอน
ส่วนน้ำดื่ม ความจริงด้านบนมีน้ำที่แยกใช้สำหรับดื่ม (ที่ต้องต้มก่อน) อยู่
แต่ถ้าไม่มั่นใจจะเตรียมน้ำดื่มไปเองก็ได้
ชั่งน้ำหนักเรียบร้อยแล้วเตรียมตัวเดินได้เลย
ขอติดตัวสำหรับการเดินก็ประกอบไปด้วย ของหวานๆ น้ำดื่ม (ซักคนละสองขวดเล็ก) ขนม และข้าวเที่ยงครับ ว่าแล้วก็นั่งรถเดินทางไปที่น้ำตกภูสอยดาวเพื่อเริ่มเดินได้เลย
เนินสุดท้ายนี้เรียกว่าเดินสิบก้าวต้องพักเลยครับ
ที่ ภูสอยดาว จังหวัดอุตรดิตถ์และพิษณุโลกมา
เราชอบมาก และคิดว่าคงดีถ้าได้ไปอีก
ขอรีวิวการเดินทางและการท่องเที่ยวในครั้งนี้ครับ
เรามีเวลาแค่ 2 วัน แต่เลือกไปในวันธรรมดาต่อเนื่องวันเสาร์ครับ
เราเดินทางตามเส้นทางที่ gps นำเสนอเลย ซึ่งเดาว่าน่าจะเป็นเส้นนี้ครับ
การเดินทางไปไม่ยากครับ และเราเลือกเอารถไปเพราะทริปนี้เดินทาง 4 คน
ค่าน้ำมันรถดีเซลเครื่อง 3000 ที่ใช้ก็ประมาณสองพันได้ (ช่วงนี้น้ำมันพอสู้ได้) หารสี่แล้วก็คนละห้าหกร้อย ถึอว่าคุ้มครับ
เส้นทางการเดินทางถ้ารถเล็กอาจจะต้องค่อยๆ ไปหน่อย แต่สามารถเดินทางไปได้
ที่ทำการอุทยานมีที่จอดชัดเจน และความปลอดภัยน่าจะสูงอยู่ครับ
เราออกเดินทางประมาณ สี่ทุ่มคืนวันพฤหัส และเดินทางด้วยเส้นทางนี้ไปถึงที่ทำการอุทยานประมาณ 7 โมงเช้า
เราเตรียมเสบียงสำหรับช่วงที่อยู่บนภูไปจากที่กทม.แล้ว
ช่วงไปจึงแวะที่ตลาดตรงอำเภอชาติตระการ เพื่อซื้ออาหารเช้าและเที่ยงระหว่างเดินทางขึ้นภูครับ
รวมเดินทางทั้งหมดประมาณ 8 ชั่วโมงกว่าได้
ในฐานะคนขับ ถือว่าโอเคครับ
ถึงที่ทำการอุทยาน เรานั่งกินข้าวเช้ารอ ที่ทำการเปิดทำการตอน 8 โมงเช้า
พร้อมแล้วก็ดำเนินการแสดงตนเพื่อขึ้นภูได้เลย
ค่าเข้าเขตอุทยานอยู่ที่คนละ 40 บาท รถคันละ 30 บาท (ทั้งหมดนี้ได้ลด 50% ถ้าเดินทางวันธรรมดา)
การแสดงตนเพื่อขึ้นภูก็กรอกข้อมูลตัวแทนของคณะครับ และก็ฝากบัตรประจำตัวไว้ 1 ใบ
ณ ที่ทำการอุทยาน
ถ้าไม่ได้เอาอุปกรณ์ยังชีพสำหรับด้านบนขึ้นไปก็เช่าตรงนี้แล้วก็ขึ้นไปรับของด้านบน
สำหรับคณะ ผมก็เลือกใช้อุปกรณ์ของทางอุทยาน (เต้นท์ แผ่นรองนอน หมอน และถุงนอน) ทั้งหมด
นอนคนเดียว เต้นท์คืนละ 700
นอนสองคน เต้นท์คืนละ 800
นอนสามคน เต้นท์คืนละ 900
ถ้าไม่ใช้ลูกหาบ ก็รอรถที่จะไปส่งที่น้ำตกภูสอยดาวได้เลย
ถ้าใช้ลูกหาบก็ชั่งน้ำหนักตรงนี้ กิโลกรัมละ 35 บาท
เรื่องน้ำใช้ไม่ต้องห่วงนะครับ ด้านบนมีน้ำสำหรับใช้ เพียงพอแน่นอน
ส่วนน้ำดื่ม ความจริงด้านบนมีน้ำที่แยกใช้สำหรับดื่ม (ที่ต้องต้มก่อน) อยู่
แต่ถ้าไม่มั่นใจจะเตรียมน้ำดื่มไปเองก็ได้
ชั่งน้ำหนักเรียบร้อยแล้วเตรียมตัวเดินได้เลย
ขอติดตัวสำหรับการเดินก็ประกอบไปด้วย ของหวานๆ น้ำดื่ม (ซักคนละสองขวดเล็ก) ขนม และข้าวเที่ยงครับ ว่าแล้วก็นั่งรถเดินทางไปที่น้ำตกภูสอยดาวเพื่อเริ่มเดินได้เลย
รถขนสัมภาระจากที่ทำการอุทยานไปที่น้ำตกเพื่อเริ่มเดินครับ
(ภาพนี้เป็นตอนขาลง)
ถึงน้ำตกแล้วก็ลุยเดินได้เลย
ระยะทางอยู่ที่ 6.5 กม. ดูเหมือนไม่เยอะครับ แต่มีบางส่วนที่ต้องปีนทำให้เหนื่อยจริงๆ ครับ
ภาพจาก http://www.phudoilay.com/north/utraradit/phusoidao_go.php
ตอนเดินประมาณ 90% ถือว่าสบายๆ ไปได้เรื่อยๆ ครับ ขึ้นๆ ลงปกติ แต่ในช่วงสุดท้ายคือเนินมรณะนี่ถือว่าหนักมาก เราเห็นยอดลิบๆ ที่ไม่คิดว่าเราจะไปถึง แต่จริงๆ นั่นคือเป้าหมายปลายทางของเรา
เนินสุดท้ายนี้เรียกว่าเดินสิบก้าวต้องพักเลยครับ
เหนื่อยจริงๆ
หันหลังมาถ่ายภาพนี้ ขณะเดินขึ้นเนินมรณะ
เราเริ่มเดินตั้งแต่ เก้าโมงเช้า ถึงจุดภูประมาณบ่ายสองครับ เดินประมาณ ห้าชม.
แล้วก็แจ้งว่าเราต้องการอะไรเพิ่มเติมนอกเหนือจากเต้นท์หรือไม่
ด้านบนจะมีพวกเตา ถ่าน กระแป๋งน้ำ ขัน กาต้มน้ำ หม้อ ให้เราเช่าอยู่ครับ
แล้วก็ดำเนินการหาข้าวกินกันครับ คณะเราเอาเตาแก๊สสนามและเสบียงไปเยอะ อิ่มอร่อยๆๆ
ถึงยอดภูแล้วก็เดินไปอีกไม่เยอะครับก็จะเจอที่ทำการอุทยาน แสดงตนว่าเราถึงแล้วกับทางเจ้าหน้าที่
แล้วก็แจ้งว่าเราต้องการอะไรเพิ่มเติมนอกเหนือจากเต้นท์หรือไม่
ด้านบนจะมีพวกเตา ถ่าน กระแป๋งน้ำ ขัน กาต้มน้ำ หม้อ ให้เราเช่าอยู่ครับ
ค่าเช่าก็ 10 บาท 20 บาทครับ
ขนอุปกรณ์ที่เช่ามายังเต้นท์ได้เลยครับ เลือกเอาทำเลที่ต้องการได้เลย
เข้าเต้นท์ปุ้บ ผมเหนื่อยเพลียมาก เพราะขับรถมาหนึ่งคืน และเดินอีกหนึ่งวัน เผลอหลับไปประมาณชม.นึง
ถือเป็นการรอลูกหาบไปในตัวครับ
รับของจากลูกหาบแล้วก็อาบน้ำครับ ที่นี่น้ำใช้ไม่มีระบบประปานะครับ เอากระแป๋งที่เช่ามาไปตักน้ำจากลำธารที่มีห้องน้ำแล้วก็อาบโลดครับ (น้ำเย็นสะใจสดชื่นมากๆ)
อากาศด้านบนลมเย็นสบายดีครับ บางช็อตถึงกับหนาวได้เลย
กระต๊อบที่ทำการอุทยานด้านบน มีอะไรติดต่อที่นี่
อันนี้เต้นท์ที่เลือกครับ นอนสบายแข็งแรงดี
ไม่มีอะไรทำเดินไปดูพระอาทิตย์ตกครับ สวยงามมากๆ
หกโมงแล้วที่นี่จะมืดมากๆ ครับ ห้ามลืมไฟฉายเด็ดขาด (T.T ผมลืมทิ้งไว้บนภูด้วย)
ผมหลับไปตั้งแต่ทุ่มตั้งใจว่าตื่นขึ้นมาถ่ายรูปดาว (ตามชื่อภู)
แต่ดันหลับยาวสะดุ้งตื่นตอน เที่ยงคืนครับ ปรากฎเงียบมาก ไม่มีเสียงอะไรเลย ไม่กล้าออกมาจากเต้นท์ครับ เลยหลับต่อดีกว่า เห่อๆ
บรรยากาศเช้าวันที่สอง
สำหรับคนที่มีเวลา วันที่ 2 ถ้าได้อยู่ด้านบนอีก มีสถานที่ท่องเที่ยวให้เดินเล่นได้ทั้งวันนะครับ
แต่คณะเราเลือกเดินทางลงเลยในวันที่สอง
หลังจากนัดแนะกับลูกหาบไว้ตั้งแต่เมื่อวาน ขาลงก็แจ้งเขาไว้ครับ ว่าให้มารับของตอนกี่โมง
พอจะกลับเราก็เก็บของที่เช่ามาครับ แล้วก็นำไปคืนที่ทำการอุทยาน นำสัมภาระที่จะให้ลูกหาบขนให้เรามาที่ทำการฯ ชั่งน้ำหนัก กินข้าวให้เต็มที่ เตรียมตัวให้พร้อม แล้วก็เริ่มลงกันได้เลย
ขาลงสบายขึ้นครับ แต่จะปวดหน้าขากับก้นมาก
วิธีการเตรียมตัวสำหรับการเดินนะครับ
- ของที่ควรนำขึ้นไป
- เสื้อผ้าให้เพียงพอกับเวลาที่อยู่
- ชุดกันหนาว
- ชุดกันฝน
- ผ้าใบสำหรับปูพื้นสำหรับตั้งวงกินข้าว
- รองเท้าแตะ
- ไฟฉาย และอุปกรณ์ติดไฟ
- เสบียงเบาๆ ที่เพียงพอกับเวลาที่อยู่
- ยา (ทั่วไป) และยาประจำตัว
- เตรียมใจ ระหว่างที่เดินอยู่ครึ่งแรกจะคิดว่าหนักหนาชีวิตน่าจะสบายขึ้น แต่จุดที่หนักที่สุดอยู่ที่ 25% สุดท้าย
- เตรียมกาย
- ออกกำลังกายมาบ้าง ให้ร่างกายได้คุ้นเคยเวลาที่ heart rate พุ่งขึ้นไป
- แต่งตัวให้ทะมัดทะแมง แขนยาวขายาวมาเลยครับ ผ้าที่แบบว่าเปียกง่ายแห้งง่ายจะดีที่สุดครับ
- รองเท้า ในช่วงที่ผมไปไม่ค่อยลื่น รองเท้าวิ่งที่ผมใช้ถือว่าโอเค
- ถุงเท้าหนา จะช่วยได้มากตอนขาลงครับ เพราะปลายเท้าจะถูกกดทับมาก ถุงเท้าหนาจะทำให้ไม่เจ็บเพราะถูกเล็บกดเนื้อ
- อาหาร น้ำดื่ม ยาดม ลูกอม ขนมหวานๆ ติดไว้กันน้ำตาลตกครับ
ชุดผมตอนลง
ขาลงคณะเราใช้เวลาราวๆ สี่ชั่วโมงได้ครับ เหลือเวลาขับรถกลับกทม.สบายๆ
สรุปทริปนี้
- คนชอบความสบาย คาดหวังว่าห้องน้ำ น้ำใช้ การอยู่การกินจะสบาย ขอให้ทำใจให้สบายครับ ขึ้นไปตรงนั้นอยู่ได้สบายๆ แน่นอนเพียงแค่สนุกสนานกับการเปลี่ยนวิธีการใช้ชีวิต
- ของที่จะให้ลูกหาบเอาขึ้นไป เบาๆ พอครับ เพราะถ้าเอาไปเยอะ ทริปนี้จะแพงกับค่าลูกหาบ เห่อๆ
- อากาศจะหนาวๆ ชื้นๆ ชุดกันหนาว สำคัญครับ เตรียมไปให้เพียงพอ
- สำหรับผมชอบมาก และถ้ามีโอกาสคงจะกลับไปอีกรอบครับ :)
ค่าใช้จ่าย คร่าวๆ ผมเฉลี่ยต่อคนแล้วนะครับ จากคณะ 4 คน
- ค่าเดินทาง
- ประมาณ 600 บาท/คน (ค่าน้ำมัน)
- ค่าที่พัก และลูกหาบ ผมว่าจะให้เหมาะน้ำหนักต่อคนสำหรับลุกหาบคือคนละ 10 กก. ครับ
- ค่าที่พัก 400/คืน
- ค่าลูกหาบขาขึ้น 350
- ค่าลูกหาบขาลง 200 (น้อยลงเพราะของกินพยายามซัดให้หมดครับ)
- ค่าอาหารและเสบียง
- ตีไปกลมๆ วันละ 500 นะครับ
Comments