พ.ร.บ. สุดซอย ในสายตาประชาชนเล็กๆ คนหนึ่ง
กระแสร้อนแรงในบ้านเราตอนนี้ไม่มีเรื่องใดจะพ้นเรื่องความเห็นต่อพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม ซึ่งชื่อจริงๆ ของร่างนี้ยาวมากคือ "ร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมผู้ชุมนุมทางการเมืองและผู้ได้รับผละกระทบทางการเมือง"
ว่าด้วยเรื่องกฏหมายพระราชบัญญัติคือกฎหมายประเภทหนึ่งของไทยที่สามารถถูกสร้างโดยการเสนอร่างจากที่มาหลากหลายนะครับ ครม.ก็เสนอร่างได้ ส.ส.ก็เสนอร่างได้ ประชาชนก็เสนอร่างได้ แต่กระบวนการรับร่างพระราชบัญญติในส่วนแรกคือสภาผู้แทนรราษฎร
กระบวนการคร่าวๆ ของการออกกฎหมายพระราชบัญญัติประกอบไปด้วยประมาณนี้นะครับ (อาจจะดูเพิ่มได้จาก Flowchart กระบวนการพิจารณากฎหมาย พ.ร.บ.)
กระบวนการคร่าวๆ ของการออกกฎหมายพระราชบัญญัติประกอบไปด้วยประมาณนี้นะครับ (อาจจะดูเพิ่มได้จาก Flowchart กระบวนการพิจารณากฎหมาย พ.ร.บ.)
- เสนอร่าง
- รับหลักการร่าง (ผ่านวาระ 1 ในสภาผู้แทนฯ)
- ปรับปรุง ถกเถียงร่าง (ผ่านวาระ 2 ในสภาผู้แทนฯ)
- รับร่าง (ผ่านวาระ 3 ในสภาผู้แทนฯ)
- ตรวจสอบเห็นชอบด้วย ส.ว.
- ทูลเกล้าขึ้นทรงลงพระปรมาภิไธย
- มีผลบังคับใช้
ร่างฯ ที่เป็นประเด็นอยู่ตอนนี้คือร่างที่ถูกเสนอโดยส.ส.วรชัย เหมะ ซึ่งในกระบวนรับหลักการร่าง สภามีมติเห็นชอบแนวทางของกฎหมายนี้คือ "ยกเว้นโทษให้กับผู้ชุมนุมทางการเมืองที่เข้าร่วมชุมนุมโดยจิตบริสุทธิ์ต้องการแสดงออกถึงแนวทางการเรียกร้อง และเว้นการยกโทษให้กับแกนนำการชุมนุมรวมถึงผู้กระทำผิดรุนแรง เช่น เผาสถานที่ราชการ ลักทรัพย์ ฆ่า สั่งการให้เกิดการฆ่า ฯลฯ"
จากกระบวนการรับร่าง ขั้นตอนต่อไปคณะกรรมาธิการพิจารณาร่างนี้ได้แก้ไขร่างให้ร่างนี้กลับกลายเป็นแนวทางการนิรโทษกรรมชนิด "สุดซอย" คือยกเว้นโทษทั้งหมดที่เกิดขึ้น ในห้วงเวลาที่เรียกได้ว่าน่าสงสัยว่าร่างถูกสร้างเพื่อตอบโจทย์ต่อผู้ชุมนุมทางการเมืองหรืออะไรอย่างอื่นกันแน่?
ขอให้อ่านมาตราที่ 3 ในร่างกฎหมายฯ นี้ให้ชัดๆ
References:
จากกระบวนการรับร่าง ขั้นตอนต่อไปคณะกรรมาธิการพิจารณาร่างนี้ได้แก้ไขร่างให้ร่างนี้กลับกลายเป็นแนวทางการนิรโทษกรรมชนิด "สุดซอย" คือยกเว้นโทษทั้งหมดที่เกิดขึ้น ในห้วงเวลาที่เรียกได้ว่าน่าสงสัยว่าร่างถูกสร้างเพื่อตอบโจทย์ต่อผู้ชุมนุมทางการเมืองหรืออะไรอย่างอื่นกันแน่?
ขอให้อ่านมาตราที่ 3 ในร่างกฎหมายฯ นี้ให้ชัดๆ
ให้บรรดาการกระทำทั้งหลายทั้งสิ้นของบุคคลหรือประชาชนที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมือง ความขัดแย้งทางการเมือง หรือที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้กระทำความผิดโดยคณะบุคคลหรือองค์กรที่จัดตั้งขึ้นภายหลังการรัฐประหาร เมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ.2549 รวมทั้งองค์กรหรือหน่วยงานที่ดำเนินการในเรื่องดังกล่าวสืบเนื่องต่อมาที่เกิดขึ้นระหว่าง พ.ศ.2547 ถึงวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ.2556 ไม่ว่าผู้กระทำจะได้กระทำในฐานะตัวการ ผู้สนับสนุน ผู้ใช้ให้กระทำ หรือผู้ถูกใช้ หากการกระทำนั้นผิดต่อกฎหมายก็ให้กระทำพ้นจากความผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิง
การกระทำตามวรรคหนึ่ง ไม่รวมถึงการกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112และเมื่อเปรียบเทียบกับมาตรา 3 ในร่างแรกก่อนได้รับการแก้ไขโดยคณะกรรมาธิการ
ให้บรรดาการกระทำใดๆ ของบุคคลที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมืองหรือการแสดงออกทางการเมือง หรือบุคคลซึ่งไม่ได้เข้าร่วมการชุมนุมทางการเมือง แต่กระทำการนั้นมีมูลเหตุเกี่ยวข้องหรือเกี่ยวเนื่องกับความขัดแย้งทางการเมือง โดยการกล่าวด้วยวาจาหรือโฆษณาด้วยวิธีการใด เพื่อเรียกร้องหรือให้มีการต่อต้านรัฐ การป้องกันตน การต่อสู้ขัดขืนการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือการชุมนุม การประท้วงหรือการแสดงออกด้วยวิธีการใดๆ อันอาจเป็นการกระทบต่อชีวิต ร่างกาย อนามัย ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดของบุคคลอื่น ซึ่งเป็นเหตุการณ์สืบเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง หรือการแสดงออกทางการเมือง ตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 ถึงวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 ไม่เป็นความผิดต่อไปและให้ผู้กระทำการนั้นพ้นจากการเป็นผู้กระทำความผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิง
การกระทำในวรรคหนึ่ง ไม่รวมถึงการกระทำใด ๆ ของบรรดาผู้ซึ่งมีอำนาจในการตัดสินใจ หรือสั่งการให้มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองในห้วงระยะเวลาดังกล่าวจะเห็นได้ว่าลักษณะของการแก้ไขจากที่เคยให้ถูกจำเพาะเจาะจงให้เฉพาะกับผู้กระทำความผิดที่เกี่ยวข้องกับการแสดงออกทางการเมือง กลับถูกแก้ไขให้ครอบคลุมไปถึงผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินการโดย
References:
Comments