จากประชาชนคนตัวเล็กๆ พูดถึงร่างพ.ร.บ.แก้ไขปรับปรุงรัฐธรรมนูญ (ว่าด้วยเรื่องที่มาสว.)

ยอมรับโดยสดุดีว่าเป็นติดตามการเมืองและชอบที่ได้เห็นคนในสภาถกเถียงกันไม่ว่าจะออกมาในรูปแบบใดครับ ไม่ว่าพวกท่านจะอยู่ในประเด็น หลงประเด็น ด่าทอ ด้วยคำหยาบคาย ยกรองเท้า พูดจาสองแง่สองง่าม มองว่าความสวยเป็นประเด็น ความแก่เป็นประเด็น ที่มาของพวกท่านเป็นประเด็น ผมทนฟัง ชอบฟัง และติดตามอยู่เสมอ และจะไม่พลาดหากมีโอกาสได้ฟังการถ่ายทอดเสียงสด หรือถ่ายทอดสด

ผมก็ไม่พลาดในช่วงนี้ที่ช่วงรัฐสภากำลังพิจารณาร่างกฎหมายพระราชบัญญัติว่าด้วยเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่เป็นประเด็นตอนนี้คือ มาตราต่างๆ ว่าด้วยเรื่องที่มาของสว.

อันนี้บรรยากาศ ขำๆ นะครับ


ก่อนหน้านี้มีความพยายามของฝั่งฝ่ายที่ต้องการแก้คือการพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ที่สร้างไว้เพื่อปกป้องไม่ให้สามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับได้ ฝ่ายตรงข้ามที่ไม่เห็นความสำคัญของการแก้ไขรัฐธรรมนูญฟ้องศาลรัฐธรรมนูญด้วยสาเหตุใดผมก็ไม่ทราบได้ ศาลฯ วินิจฉัยว่าการแก้ไขทั้งฉบับคือการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ แปลว่าถ้าหากจะแก้ ต้องแก้ผ่านกลไกตามมาตรา 291 เท่านั้น

ดังนั้นสิ่งที่ฝ่ายที่ต้องการแก้ไขต้องการทำคือการแก้ไขทีละมาตราฝ่ายกระบวนการทางรัฐสภา ก็คือการเขียนพ.ร.บ.แก้ไขปรับปรุงรัฐธรรมนูญ ที่เป็นประเด็นตอนนี้คือการแก้ไขเรื่องที่มาของ ส.ว.(สมาชิกวุฒิสภา) ขอให้ดูเนื้อหาในรัฐธรรมนูญฉบับเดิมก่อน ผมขอย่อมาเพื่อให้เข้าใจภาพกว้าง

รัฐธรรมนูญปี 2550
"วุฒิสมาชิกมีจำนวน 150 ท่าน มาจากการเลือกตั้ง 1 จังหวัด 1 วุฒิสมาชิกคือ 76 คน และอีก 74 คน มาจากการแต่งตั้ง"

ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2556
"วุฒิสมาชิกจะมีจำนวน 200 ท่าน และทั้งหมดมาจากการเลือกตั้ง"

วิธีซึ่งการได้มาซึ่งสว.ในร่างพรบ.ฉบับใหม่นี้อ่านผ่านๆ เหมือนจะโอเคใช่ไหมครับ รัฐธรรมนูญมาตรา 3 บอกว่า "อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน" นั่นหมายความว่า ประชาชนควรจะได้เลือกสว.ทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของหน่วยงานอิสระ ครม. หรือสว. ดังนั้นหากเราอ่านผ่านๆ และเข้าใจว่าระบอบประชาธิไตยคือการเลือกตั้งตัวแทน สว.มาจากการเลือกตั้งคือสิ่งที่ประเทศนี้ควรมี อันนี้ผมเห็นด้วย 100% ครับ ดังนั้น 200 คนจะมาจากการเลือกตั้งทั้งหมด "ผมเห็นด้วย"

ประเด็นของผมอยู่ที่ "คุณลักษณะต้องห้าม" ที่กำหนดไว้ในมาตราที่ 115 ของรัฐธรรมนูญครับ
รัฐธรรมนูญปี 2550
"ผู้สมัครเข้ารับการเลือกตั้งจะต้อง ไม่เป็นบุพการี คู่สมรส หรือบุตรของผู้ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง"
และ
"ไม่เป็นสมาชิกหรือผู้ดำรงตำแหน่งใดในพรรคการเมืองหรือเคยเป็นสมาชิกหรือเคยดำรงตำแหน่งและพ้นจากการเป็นสมาชิกหรือการดำรงตำแหน่งใด ๆ ในพรรคการเมืองมาแล้วยังไม่เกินห้าปีนับถึงวันสมัครรับเลือกตั้งหรือวันที่ได้รับการเสนอชื่อ"

ซึ่งในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2556 เสนอให้ตัดข้อห้ามเหล่านี้ทิ้งเสีย

ผมสงสัยว่าการแก้ไขเหล่านี้ได้สอดคล้องกับสถานการณ์บ้านเมืองที่มีความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องแก้ไขกฎหมายสูงสุดของประเทศในหมวดหมู่ที่ไม่ได้ให้คุณให้โทษกับการดำรงชีวิตของประชาชนส่วนมากของชาติไปเพื่ออะไร? อาจจะมีความจำเป็นต้องแก้กฏหมายเพราะสมาชิกวุฒิสภากำลังจะหมดวาระ แต่หากเรียงลำดับความสำคัญของกฎหมายที่กำลังเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาแล้ว มันต้องรีบขนาดนั้นเชียวหรือ?

เรื่องจำนวน 200 คนคือเรื่องหนึ่ง (ทำไมต้อง 200??) ผมไม่ติดใจเอาความ

แต่ว่ากันด้วยเรื่องที่มาของสว. ผมไม่สนับสนุนให้เกิดการคัดสรรจากการเลือกจากคณะกรรมการสรรหาอยู่แล้ว เพราะผมเบื่อหน่ายการที่ต้องมีคนมาคิดแทนประชาชน เล็งเห็นว่าถ้า... แล้วคงดี ดังนั้น คงไว้ครับ 200 คนและทั้งหมดมาจากการเลือกตั้ง ประเด็นอยู่ที่ ท่านต้องแบ่งสรรส่วนหนึ่งออกมาให้บุคคลที่ไม่มีขีดความสามารถในการ "เป็นนักเลือกตั้ง" แต่มีขีดความสามารถในการแสดงตนเป็นฝ่ายตรวจสอบ เป็นตัวแทนในการเสนอความคิดจากกลุ่มประชาชน ต้องหาแนวทางที่ทำให้เขาได้เสนอตนและเป็นหนึ่งในกระบวนการตรวจสอบ

แต่ที่รับไม่ได้คือการตัดคุณสมบัติต้องห้ามออกไป ความจำเรายังดีกันอยู่ และเรายังจำกันได้ว่า วุฒิสภาที่ได้มาจากการเลือกตั้งจากรัฐธรรมนูญปี 2540 ที่เราว่าเป็นรัฐธรรมมูญที่ดีที่สุดของประเทศถูกครหาว่าเป็นสภาผัว-เมีย เพราะคนที่ทำหน้าที่ตรวจสอบมีความสัมพันธ์ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งกับผู้ถูกตรวจสอบ กระบวนการตรวจสอบแบบนั้นไม่มีทางที่จะตรงไปตรงมาและมีประสิทธิภาพ

ลักษณะของสภาผัว-เมียมีดังนี้

พ่อ เป็น หนึ่งในคณะรัฐมนตรี
ลูก เป็น ส.ส.
แม่ เป็น สว.

ถามตรงไปตรงมา? แม่จะตรวจสอบผัวกับลูกขึ้นศาลเข้าคุกหรือ? เมื่อภาวะจิตใจบีบคั้นกระบวนการตรวจสอบจึงไม่เกิดขึ้น สภาทาส หรือสภาผัวเมียที่ฮั้วกันไปเสียหมดจึงเกิดขึ้น เราจะกลับไปมีรูปแบบการปกครองแบบนั้นอีกหรือ? ตกลงเราได้เรียนรู้ หรือพร้อมที่จะเรียนรู้จากอดีตเพื่อสร้างอนาคตที่ดีขึ้นหรือไม่?

ผมว่ามันทุเรศและน่าเกลียดมาก ที่นักเลือกตั้งทั้งหลาย อ้างเสียงประชาชน อ้างรัฐธรรมนูญที่ระบุว่าอำนาจสูงสุดของชาติต้องมาจากประชาชน แล้วแอบซุกซ่อนวาระซ่อนเร้นที่หลงในอำนาจ หลงในสรรเสริญจอมปลอมจนเสียกระบวน เขาชอบบอกว่าผู้คัดค้านไม่เชื่อใจประชาชน
ผมไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่ เพราะท่านไม่ได้แสดงออกอย่างชัดเจนหรือได้เผยแพร่ออกไปอย่างชัดเจนว่าจริงๆ แล้วคณะกรรมาธิการได้แก้ไขในมาตราใดอย่างไรบ้าง ผู้แปรญัตติก็ไม่ได้ต้องการที่จะสรรหาทั้งหมด แต่บางท่านก็แปรเพราะมาตราที่ท่านไปตัดคุณสมบัติต้องห้ามที่น่าจะป้องกันข้อครหาของสภาผัว-เมียได้ต่างหาก

ผมถามไปยังผู้สนับสนุนให้มีการแก้ไขในรัฐธรรมนี้อย่างจริงใจ โดยอยู่บนพื้นฐานของการต้องการให้ประเทศนี้เจริญไปข้างหน้าและเป็นของประชาชนทั้งหมดทุกคน โดยขอให้ท่านตัดอคติที่มีอยู่ทั้งหมดออกไป "ท่านหวังใจ อย่างจริงใจจริงๆ หรือว่าการแก้รัฐธรรมนูญว่าด้วยเรื่องการได้มาซึ่งสว.เหล่านี้นั้น จะก่อให้เกิดการตรวจสอบและคัดคานอำนาจได้อย่างมีประสิทธิภาพ" หากท่านตอบตัวเองว่า "ฉันเชื่ออย่างนั้น" ผมก็พร้อมจะรับผลกรรม และตัดสินใจไปแล้วว่าเราไม่สามารถคาดหวังหรือพึ่งพิงกระบวนการทำงานของพวกท่านได้จริงๆ ผมจะไปคาดหวังกฎหมาย ผมจะไปคาดหวังโครงการ ผมจะไปคาดหวังกระบวนการตัดสินใจของท่านได้อย่างไร ในเมือฝ่ายตรวจสอบฝ่ายหนึ่งที่มีความสามารถสูงกว่าพวกผมจะได้ทำหน้าที่ของเขาอย่างเต็มที่

เขียนถึงตรงนี้ผมเศร้าใจ แต่จะติดตามกระบวนการเหล่านี้ต่อๆ ไปครับ

References:

Comments

Popular posts from this blog

สุดท้ายมันทำให้ดีอะไรดีขึ้นบ้าง??

the first step.....

ST: ----ไปม.บูฯ มา----